หลักสูตรอบรมด้านความปลอดภัย

บริษัท เอสอาร์ดี คอนซัลแตนท์ จำกัด ให้บริการอบรมด้านความปลอดภัยครบวงจร

ครอบคลุมหลักสูตรตามกฎหมาย เช่น อบรม จป.หัวหน้างาน, จป.บริหาร, คปอ., อบรมความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า, อบรมสารเคมี, อบรมที่สูง, TSM รวมถึงหลักสูตรเฉพาะทางสำหรับโรงงานและสถานประกอบกิจการทุกประเภท


อบรม จป.หัวหน้างาน

เจาะลึกกฎหมายความปลอดภัย: ทำไมสถานประกอบการ (บัญชี 1–3) ต้องมี “จป.” และต้องมีกี่ระดับ?

“ความปลอดภัย” ไม่ใช่เพียงเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่คือรากฐานสำคัญขององค์กรที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะสถานประกอบการที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงตามกฎกระทรวงฯ ปี 2565
คำถามที่พบได้บ่อยคือ—
“ทำไมต้องมี จป.?”
“องค์กรต้องมี จป. ระดับไหนบ้าง?”

บทความนี้ SRD Consultant จะพาคุณเข้าใจอย่างชัดเจนทั้งด้านกฎหมายและประโยชน์ที่แท้จริงของการมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.)

ทำไมทุกสถานประกอบการต้องมี จป.?
เพราะมากกว่า “การทำตามกฎหมาย” แต่คือ “การปกป้องธุรกิจ”

องค์กรจำนวนมากยังคิดว่า จป. คือค่าใช้จ่าย แต่ความจริงคือ “การลงทุน” ที่ช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายมหาศาลในอนาคต โดยเฉพาะใน 5 ประเด็นหลักนี้:

1) เกราะป้องกันทางกฎหมาย

การมี จป. ครบตามระดับที่กฎหมายกำหนด ช่วยป้องกันองค์กรจากโทษปรับและความผิดทางอาญา
กรณีไม่มี จป. ตามกฎหมาย → มีโทษปรับสูงสุด 200,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน

2) ลดต้นทุนจากอุบัติเหตุ (ค่าใช้จ่ายแฝงมหาศาล)

อุบัติเหตุเพียงครั้งเดียวอาจทำให้เสีย:

ค่ารักษาพยาบาล

ค่าเสียเวลาและกำลังการผลิต

ค่าเสียอุปกรณ์/เครื่องจักร

ผลกระทบภาพลักษณ์ทางธุรกิจ

จป. คือผู้บริหารจัดการเพื่อลดความสูญเสียทั้งหมดนี้

3) สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย (Safety Culture)

เมื่อพนักงานรู้จักระวังตัวเองและผู้อื่น อุบัติเหตุก็ลดลงอย่างชัดเจน
องค์กรจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

4) เพิ่มความน่าเชื่อถือขององค์กร

องค์กรที่มีระบบความปลอดภัยดี มักได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้า โรงงานคู่ค้า และองค์กรตรวจประเมินต่าง ๆ

5) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม

สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทำให้พนักงานทำงานอย่างเต็มศักยภาพ ไม่เครียด ไม่เสี่ยง และมีความมั่นใจค่ะ

ใครบ้างที่ต้องมี จป.? (บัญชี 1–3 ตามกฎหมาย 2565)

กฎกระทรวงกำหนดประเภทสถานประกอบกิจการตามระดับความเสี่ยง โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม:

บัญชี 1 — ความเสี่ยงสูงมาก ประกอบด้วย เหมืองแร่ ปิโตรเคมี ปิโตรเลียม กลั่นน้ำมัน  แยกก๊าซ 

ต้องมี จป. ครบทุกระดับที่กฎหมายกำหนด ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

บัญชี 2 — ความเสี่ยงปานกลาง เช่น โรงงานผลิตต่าง ๆ  ก่อสร้าง ต่อเรือ ผลิตไฟฟ้า ขนส่ง โรงพยาบาล โรงแรม ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

→ ต้องมี จป. ตามจำนวนลูกจ้างและระดับงาน

บัญชี 3 — ความเสี่ยงต่ำ เช่น สถาบันการเงิน ตลาดหลักทรัพย์ โรงจำนำ  สถานตรวจวัด/ทดสอบ ทำหนังทำละคร ผับบาร์ร้านอาหาร  หน่วนงายสนับสนุนการทำงานของบัญชี 1 และ 2 เป็นต้น


→ แม้ความเสี่ยงไม่มาก แต่ยังต้องมี จป. หัวหน้างาน และ จป.บริหาร

จป. มีกี่ระดับ? ต้องอบรมอะไรบ้าง?

ตามกฎหมายปัจจุบัน จป. แบ่งออกเป็น 5 ระดับ โดยองค์กรต้องจัดให้มีตามประเภทและจำนวนลูกจ้างดังนี้:

1) จป. ระดับหัวหน้างาน (Supervisor Level)

ใครต้องเป็น: หัวหน้างานทุกฝ่าย
หน้าที่: ตรวจความปลอดภัยพื้นฐาน, สอนงานที่ปลอดภัย, รายงานอุบัติเหตุ
กฎหมายกำหนด:
องค์กรบัญชี 1–3 ที่มีพนักงาน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ต้องมีหัวหน้างานอบรม

2) จป. ระดับบริหาร (Management Level)

ใครต้องเป็น: ผู้จัดการ / ผู้บริหาร / ผู้มีอำนาจตัดสินใจ
หน้าที่: กำหนดนโยบาย, อนุมัติงบประมาณ, สนับสนุนระบบความปลอดภัย
ต้องมีใน: บัญชี 1–3 ที่มีพนักงาน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

3) จป. ระดับเทคนิค (Technical Level)

เหมาะสำหรับ: โรงงานบัญชี 2 ที่มีลูกจ้าง 20–49 คน
หน้าที่: ตรวจความปลอดภัย, วิเคราะห์ความเสี่ยงเบื้องต้น, สนับสนุน จป.วิชาชีพ

4) จป. ระดับเทคนิคขั้นสูง (Advanced Technical Level)

เหมาะสำหรับ: บัญชี 2 ที่มีลูกจ้าง 50–99 คน และยังไม่มี จป.วิชาชีพ
หน้าที่: ควบคุมดูแลระบบความปลอดภัยในระดับที่ซับซ้อนขึ้น

5) จป. ระดับวิชาชีพ (Professional Level)

เหมาะสำหรับ:

บัญชี 1 : ต้องมีตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

บัญชี 2 : ต้องมีเมื่อมีพนักงาน 100 คนขึ้นไป

หน้าที่: เป็นผู้เชี่ยวชาญหลักที่รับผิดชอบทั้งระบบความปลอดภัย การประเมินความเสี่ยง และการส่งเอกสารราชการ

สรุป: การอบรม จป. ไม่ใช่แค่ข้อบังคับ แต่คือรากฐานความยั่งยืนขององค์กร

หากองค์กรมีสายงานที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ
→ การมี จป. ครบตามระดับคือ “ข้อบังคับ” และ “ความจำเป็น”

SRD Consultant ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบความปลอดภัยให้กับองค์กรของคุณ ผ่านการอบรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกว่า 10 ปีค่ะ

อบรม จป.บริหาร

ทำไมองค์กรของคุณจึงขาด "จป." ไม่ได้?

การจัดให้มี จป. ในสถานประกอบการ เป็นข้อกำหนดที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามกฎหมาย โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีความเสี่ยงอันตราย ซึ่งจัดอยู่ใน บัญชี 1 ถึง บัญชี 3 ตามกฎกระทรวงฯ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่โรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง เหมืองแร่ ไปจนถึงโรงแรมและโรงพยาบาล

เหตุผลหลักที่ต้องมี จป. คือ:

การปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด: กฎหมายความปลอดภัยในการทำงานกำหนดให้สถานประกอบการต้องมี จป. ในระดับที่เหมาะสมกับขนาดและประเภทธุรกิจ เพื่อให้การดำเนินงานด้านความปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐาน หากฝ่าฝืนอาจนำไปสู่โทษปรับและโทษจำคุกได้

การป้องกันและลดอุบัติเหตุ (Cost Savings): จป. มีความรู้ในการประเมินและค้นหาอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการทำงาน พวกเขาจะเสนอมาตรการควบคุมและป้องกัน ทำให้องค์กรลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โรคจากการทำงาน และลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามมา เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมบำรุง และค่าชดเชย

การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย: การมี จป. เป็นสัญญาณว่าผู้บริหารให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดความตระหนักรู้ในหมู่พนักงาน นำไปสู่การทำงานอย่างปลอดภัยตามขั้นตอน (Work Instruction)

การเพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ: สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยช่วยลดการหยุดชะงักของการผลิต ทำให้องค์กรทำงานได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ องค์กรที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง ยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า คู่ค้า และนักลงทุน

จป. มีกี่ระดับ? และคุณสมบัติพนักงานต้องเป็นอย่างไร? (อ้างอิง กฎกระทรวง พ.ศ. 2565)เพื่อให้การทำงานด้านความปลอดภัยครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงระดับนโยบาย กฎหมายจึงกำหนดให้มี จป. ทั้งหมด 5 ระดับ โดยแต่ละระดับมีบทบาทหน้าที่และคุณสมบัติในการเข้ารับการอบรมที่แตกต่างกันไป 

  • จป. หัวหน้างาน (จป. หน.) และ จป. บริหาร (จป. บร.) สองระดับนี้เน้นที่ ตำแหน่งหน้าที่ และ อำนาจในการสั่งการ เป็นหลัก โดยไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษาเฉพาะเจาะจง:ระดับ จป.คุณสมบัติพื้นฐานข้อกำหนดการอบรมบทบาทหลักจป. หัวหน้างานต้องเป็นลูกจ้างระดับหัวหน้างาน หรือผู้ควบคุมดูแลลูกจ้างต้องผ่านการอบรมหลักสูตร ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงกำกับดูแลปฏิบัติการ, ควบคุมขั้นตอนการทำงานที่ปลอดภัยจป. บริหารต้องเป็นลูกจ้างระดับบริหาร หรือผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในสถานประกอบการต้องผ่านการอบรมหลักสูตร ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงกำหนดนโยบายความปลอดภัย, จัดหาทรัพยากรและงบประมาณ
  • จป. เทคนิค (จป. ท.) ทำหน้าที่ดูแลงานด้านความปลอดภัยในสถานประกอบการขนาดเล็กถึงกลาง ผู้ที่สามารถได้รับการแต่งตั้งเป็น จป. เทคนิค
  • จป. เทคนิคขั้นสูง (จป. ทส.) เป็นระดับที่ต้องการความรู้ที่สูงขึ้น ทำหน้าที่รับผิดชอบงานด้านความปลอดภัยที่ซับซ้อนขึ้น โดยผู้ที่จะเป็น จป. เทคนิคขั้นสูง ต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้:วุฒิปริญญาตรีทั่วไป: สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับ ปริญญาตรี หรือเทียบเท่าในสาขาอื่นประสบการณ์ จป. เทคนิค: สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่า ปวท. หรือ ปวส. และผ่านการทำงานเป็น จป. เทคนิคมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีประสบการณ์ จป. หัวหน้างานสูง: เป็นลูกจ้างที่เคยเป็น จป. หัวหน้างานมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี และผ่านการอบรมหลักสูตร จป. เทคนิคขั้นสูง
  • จป. วิชาชีพ (จป. ว.)  คือผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่ต้องรับผิดชอบการวางแผนและจัดการระบบความปลอดภัยขององค์กรทั้งหมด โดยผู้ที่จะเป็น จป. วิชาชีพ ต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้:วุฒิเฉพาะทางโดยตรง: สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับ ปริญญาตรี หรือเทียบเท่า สาขาอาชีวอนามัย หรือสาขาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยวุฒิการศึกษาอื่น: สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับ ปริญญาตรี ในสาขาอื่น และได้ผ่านการอบรมหลักสูตร จป. วิชาชีพ ตามที่อธิบดีประกาศกำหนด


  • สรุปการลงทุนที่ยั่งยืนการจัดให้มี จป. ครบถ้วนตามระดับและคุณสมบัติที่กำหนดในกฎกระทรวงฯ พ.ศ. 2565 ไม่ได้เป็นแค่ภาระทางเอกสาร แต่คือการ สร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ เข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัยการเปิดโอกาสให้ จป. หัวหน้างานที่มีประสบการณ์ สามารถยกระดับเป็น จป. เทคนิคได้ตามกฎหมายใหม่ แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและการให้ความสำคัญกับประสบการณ์จริงในสายงาน ดังนั้น องค์กรที่ลงทุนในการอบรมและพัฒนาพนักงานให้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย จึงเป็นองค์กรที่สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และเป็นแบบอย่างที่ดีในการดูแลพนักงาน

อบรม คปอ

3) อบรม คปอ. (คณะกรรมการความปลอดภัย)

  • หลักสูตรอบรม คปอ. ช่วยสร้างทีมคณะกรรมการความปลอดภัยให้มีความรู้ในการวิเคราะห์อันตราย ตรวจประเมินความเสี่ยง วางแผนป้องกันอุบัติเหตุ และดำเนินการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ
  • ทุกหน่วยงานที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปต้องจัดอบรมตามกฎหมาย

อบรมไฟฟ้า

4) อบรมความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า  (Electrical Safety)

  • ใครต้องอบรม: ช่างไฟฟ้า และช่างซ่อมบำรุง
  • เนื้อหาครอบคลุมอันตรายจากการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า, การ Lockout/Tagout (LOTO), วิธีป้องกันไฟฟ้าดูดไฟฟ้าช็อต, การใช้เครื่องมือที่ปลอดภัย และแนวทางปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เหมาะสำหรับช่างเทคนิค พนักงานซ่อมบำรุง และผู้ที่ทำงานใกล้ไฟฟ้า (กฎหมายอ้างอิง: กฎกระทรวงฯ เกี่ยวกับไฟฟ้า พ.ศ. 2558)

อบรมสารเคมี

5) อบรมสารเคมี / วัตถุอันตราย การตอบโต้เหตุฉุกเฉิน 

  • ใครต้องอบรม: พนักงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี หรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยง
  • หลักสูตรนี้สอนเกี่ยวกับอันตรายของสารเคมี การอ่าน SDS, วิธีเก็บรักษา, การขนย้ายอย่างถูกต้อง และแนวทางป้องกันการรั่วไหล รวมถึงการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน เหมาะสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภท (กฎหมายอ้างอิง: กฎกระทรวงฯ เกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556)

6) อบรมการทำงานบนที่สูง (Working at Height)

  • ใครต้องอบรม: ผู้ที่ทำงานสูงจากพื้นดินตั้งแต่ 2 เมตรขึ้นไป
  • หลักสูตรเน้นความปลอดภัยของงานบนที่สูง เช่น การใช้เชือกนิรภัย การตรวจสอบอุปกรณ์ การทำงานบนโครงสร้างสูง บันได หรือในพื้นที่เสี่ยงพลัดตก เรียนรู้วิธีประเมินความเสี่ยงและป้องกันอุบัติเหตุอย่างถูกต้อง


อบรมปั้นจั่น

7) อบรมปั้นจั่น (Crane Safety)

  • ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้เรียนรู้หลักการทำงานของปั้นจั่น การตรวจสอบอุปกรณ์ยก การปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย รวมถึงหน้าที่ของผู้บังคับปั้นจั่นและผู้ให้สัญญาณ (Rigger/Signalman) 
  • เนื้อหาครอบคลุมหลักเกณฑ์ตามกฎกระทรวงความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ปั้นจั่น และหม้อน้ำ พ.ศ. 2564 เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานควบคุมปั้นจั่นได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย

อบรมลูกจ้าง

8) อบรมลูกจ้างใหม่ ตาม พรบ.ความปลอดภัย 2554

  • อบรมสำหรับพนักงานใหม่ในสถานประกอบกิจการ เพื่อให้ความรู้ด้านกฎหมายพื้นฐาน การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล การป้องกันอุบัติเหตุ
  • แนวทางปฏิบัติในการทำงานอย่างปลอดภัย

อบรม TSM

9) อบรม TSM (Transport Safety Manager)

  • หลักสูตรสำหรับผู้จัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง เรียนรู้การจัดการความเสี่ยง การตรวจสอบรถขนส่ง การกำกับดูแลพนักงานขับรถ และแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานสากร เพื่อให้การขนส่งปลอดภัยสูงสุด
  • อ้างอิงตามกฎหมายของกรมการขนส่งทางบก

จป.เทคนิค

10) อบรม จป.เทคนิค (Technical Level)

  • หลักสูตรอบรม จป.เทคนิคเหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติงานที่ต้องรับผิดชอบด้านความปลอดภัยเชิงเทคนิคในสถานประกอบกิจการ เนื้อหาครอบคลุมการวิเคราะห์งานเพื่อความปลอดภัย (JSA), การชี้บ่งอันตราย, การประเมินความเสี่ยง, การควบคุมอันตราย รวมถึงแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายด้านความปลอดภัยอย่างถูกต้อง
  • ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้จากกรณีศึกษาจริง พร้อมฝึกการวิเคราะห์เหตุการณ์เพื่อป้องกันอุบัติเหตุในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ระยะเวลาอบรม 30 ชั่วโมง

อบรม รถยก

11. ความปลอดภัยในการใช้รถยก (Forklift Safety)

  • ใครต้องอบรม: พนักงานขับรถยก (โฟล์คลิฟท์)
  • หลักสูตรอบรมรถยกเหมาะสำหรับผู้ขับรถยก เนื้อหาครอบคลุมหลักการทำงานของรถยก การตรวจสอบสภาพรถยกก่อนใช้งาน การขับขี่ในพื้นที่เสี่ยง การยก-เคลื่อนย้ายสินค้าอย่างถูกวิธี และแนวทางป้องกันอุบัติเหตุ ผู้เข้าร่วมจะได้ฝึกปฏิบัติจริง เพื่อเพิ่มทักษะ ความมั่นใจ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุในสถานประกอบกิจการ (กฎหมายอ้างอิง: กฎกระทรวงฯ เกี่ยวกับเครื่องจักร ปั้นจั่น และหม้อน้ำ พ.ศ. 2564)

อบรมโรคจากการทำงาน

12. โรคจากการประกอบอาชีพ (Occupational Diseases)

  • ใครต้องอบรม: พนักงานทุกคนที่ทำงานกับปัจจัยเสี่ยง 
  • หลักสูตรโรคจากการประกอบอาชีพมุ่งเน้นให้พนักงานและผู้บริหารเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรคจากการทำงาน เช่น สารเคมี ฝุ่นละออง เสียงดัง ความร้อน ความสั่นสะเทือน รวมถึงโรคระบบทางเดินหายใจและโรคผิวหนังจากการปฏิบัติงาน เนื้อหาครอบคลุมการชี้บ่งอันตราย การประเมินความเสี่ยง การเฝ้าระวังสุขภาพพนักงาน และแนวทางควบคุมเพื่อป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมศึกษากรณีตัวอย่างจริงเพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานประกอบกิจการได้ทันที

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้